สถาบันการขนส่ง จุฬาฯ เปิดเวทีเสวนา “ค่าโดยสารรถเมล์กรุงเทพฯ เหลื่อมล้ำ ทำคนจนจ่ายแพงกว่า” เสนอสร้างความเป็นธรรมต่อผู้มีรายได้น้อยด้วยโครงสร้างค่าโดยสารแบบผสมพร้อมกับมาตรการอุดหนุนตามกลุ่มเป้าหมาย
(16 กันยายน 2025) สถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนาวิชาการ Moving Cities: Conversations on Mobility Transitions in Thailand ในหัวข้อ “ความเป็นธรรมของภาระค่าโดยสารรถเมล์ในกรุงเทพฯ: ใครต้องจ่ายแพงกว่าในการเดินทาง?” (Equity of Bus Fare Burden in Bangkok: Who Pays More to Travel?) โดยมี ดร.พัฒนพงษ์ แสงหัตถวัฒนา นักวิจัยชำนาญการ นำเสนอผลการศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างค่าโดยสารรถเมล์และความเหลื่อมล้ำที่ผู้โดยสารเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ผลการศึกษาพบว่า โครงสร้างค่าโดยสารกรุงเทพฯ ที่ใช้ทั้งแบบราคาเดียว แบบคิดตามระยะทาง และแบบอัตราเหมาจ่ายรายวันหรือรายเดือน ล้วนสร้างภาระที่แตกต่างกันต่อกลุ่มผู้โดยสาร ระบบแบบราคาเดียว แม้จะช่วยลดภาระให้กับผู้โดยสาร แต่ไม่สะท้อนต้นทุนการเดินทางที่แท้จริง และยังสร้างความไม่เสมอภาคสำหรับผู้เดินทางในระยะทางสั้น ขณะที่ระบบคิดตามระยะทาง แม้จะออกแบบมาเพื่อสะท้อนเดินทางตามระยะทางจริง แต่กลับเป็นภาระหนักสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ต้องเดินทางจากชานเมืองเข้าสู่ใจกลางเมือง อีกทั้งยังต้องแบกรับค่าโดยสารเริ่มต้นที่สูงและการปรับราคาแบบก้าวกระโดด ทำให้ค่าโดยสารคิดเป็นสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับรายได้ ส่วนระบบอัตราเหมาจ่ายรายวันหรือรายเดือนที่ควรเป็นหลักประกันค่าใช้จ่าย กลับเอื้อประโยชน์ต่อผู้ที่เดินทางเป็นประจำมากกว่าผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ได้ใช้บริการทุกวัน และยังมีราคาสูงเกินกว่าที่ผู้มีรายได้น้อยจะเข้าถึงได้ อีกทั้งยังพบว่ากลุ่มคนเดินทางรายได้น้อยจำนวนไม่น้อยต้องจ่ายค่าการเข้าถึงระบบเพิ่มเติม เช่น มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อไปถึงป้ายรถเมล์ ทำให้ต้นทุนการเดินทางยิ่งสูงขึ้น
จากข้อค้นพบนี้ ดร.พัฒนพงษ์ จึงเสนอให้ภาครัฐออกแบบ โครงสร้างค่าโดยสารแบบผสม (Hybrid Pricing) ที่ผสานข้อดีของแต่ละระบบเข้าด้วยกัน โดยใช้เทคโนโลยีและระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลรายได้และสวัสดิการของรัฐ เพื่อจัดสรรสิทธิประโยชน์ให้ตรงกับรายได้และพฤติกรรมการเดินทางจริง มาตรการนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้โดยสารในเมืองกับผู้ที่อยู่รอบนอก และควรดำเนินควบคู่กับ มาตรการอุดหนุนตามกลุ่มเป้าหมาย (Targeted Subsidy) ทั้งการกำหนดค่าโดยสารช่วงต้นที่ต่ำลงสำหรับผู้โดยสารระยะสั้น การให้ส่วนลดตามฐานรายได้เพื่อบรรเทาภาระของผู้มีรายได้น้อย และการสนับสนุนค่าโดยสารสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ต้องเดินทางไกล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนที่อยู่ใจกลางเมืองซึ่งเดินทางสั้นและเสียค่าโดยสารถูก กับคนที่อยู่ชานเมืองซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้น้อยที่ต้องเดินทางไกลและจ่ายแพงกว่า
นอกจากนี้ยังเสนอให้พัฒนาระบบตั๋วร่วมที่สามารถใช้ได้กับผู้ให้บริการทุกราย เพื่อให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ส่วนลดหรืออัตราเหมาจ่ายรายวัน/รายเดือน ครอบคลุมและไร้รอยต่อ รวมทั้งปรับรูปแบบการเหมาจ่ายให้ทันสมัย เช่น การออกอัตราเหมาจ่ายแบบย่อย (micro-cap) หรือการจ่ายตามการใช้จริงแบบ pay-as-you-go เพื่อลดภาระล่วงหน้าแก่ผู้โดยสาร ทั้งนี้ ภาครัฐควรมีบทบาทสนับสนุนในด้านเงินอุดหนุนหรือกลไกทางการเงินรูปแบบใหม่ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความเป็นธรรมต่อผู้โดยสารกับความยั่งยืนของผู้ให้บริการ
ดร.พัฒนพงษ์ ทิ้งท้ายว่า “ค่าโดยสารรถเมล์ไม่ใช่เพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่คือกลไกสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม เพราะการออกแบบโครงสร้างราคาที่เหมาะสมจะช่วยลดช่องว่างในการเดินทาง ทำให้ผู้มีรายได้น้อยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง คนรายได้มากจ่ายในสัดส่วนที่ควรจะเป็น เพื่อทำให้ระบบขนส่งสาธารณะของกรุงเทพฯ เป็นรากฐานในการพัฒนาเมืองอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน”