การบินไทย การรถไฟ และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ: ความเหมือนที่แตกต่าง

รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์สิทธิ์ เฉลิมพงศ์

รองผู้อำนวยการสถาบันการขนส่ง

การบินไทย การรถไฟ และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ: ความเหมือนที่แตกต่าง

จากกรณีการบินไทยประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่องจนต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูไปเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้หลายคนคิดไกลไปถึงรัฐวิสาหกิจอื่นที่สังกัดกระทรวงคมนาคมของไทย อาทิ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งล้วนมีหนี้สินจำนวนมากคล้ายคลึงกับการบินไทยก่อนเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ คำถามหลักที่เกิดขึ้นคืออนาคตของ รฟท. และ ขสมก. จะเหมือนหรือแตกต่างจากการบินไทยหรือไม่ อย่างไร?


CUTI สถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอความคิดเห็นจาก รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์สิทธิ์ เฉลิมพงศ์ รองผู้อำนวยการสถาบันการขนส่ง ถึง ความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง การบินไทย รฟท. และ ขสมก.


สิ่งที่เหมือนกันของทั้ง 3 หน่วยงาน

  • เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีบอร์ดบริหารส่วนใหญ่มาจากภาครัฐ การบริหารงานโดยอาศัยกฎระเบียบของราชการทำให้ขาดความคล่องตัว ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการควบคุมต้นทุน
  • มีสหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง ทำให้การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทำได้ยาก
  • ผลการดำเนินงานที่มีการขาดทุนสะสมต่อเนื่องมาหลายปี
    • การบินไทยมีผลขาดทุนสะสมในปี 2562 ประมาณ 19,383.39 ล้านบาท (มีการนำส่วนของหุ้นและทุนเข้ามาชดเชยผลขาดทุนสะสม)1
    • รฟท. มีผลขาดทุนสะสม ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 ประมาณ 135 ล้านบาท แต่พบว่ายังมีผลขาดทุนสะสมที่ยังไม่ได้รับการชดเชยจากรัฐบาลอีกจำนวน 160,363 ล้านบาท2
    • ขสมก. มีผลขาดทุนสะสมในปี 2561 ประมาณ 116,724.73 ล้านบาท3

ประเด็นที่แตกต่างกันของทั้ง 3 หน่วยงาน

สิ่งที่แตกต่างกันของทั้ง 3 หน่วยงานที่เห็นได้ชัดคือ “การแข่งขัน” เราจะพบว่าการบินไทยต้องแข่งขันกับสายการบินทั้งภายในและต่างประเทศ รวมถึงความเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ขาดความคล่องตัวในการบริหารงาน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบินไทยไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งทั้งในด้านของราคาและการให้บริการได้ แตกต่างกับ รฟท. และ ขสมก. ที่มีการดำเนินการเฉพาะตลาดภายในประเทศ แม้จะมีการแข่งขันจากผู้ให้บริการขนส่งอื่น ๆ แต่ก็ไม่รุนแรงเท่าในธุรกิจการบิน ในส่วนของ ขสมก.นั้นยังถูกกำกับดูแลอย่างเข้มงวดในแง่เส้นทางการให้บริการ และโดยเฉพาะค่าโดยสาร อีกทั้งยังมีผู้ประกอบการเอกชนร่วมบริการในหลายเส้นทาง ขณะที่ ขสมก. เองนั้นให้บริการในเส้นทางที่มีลักษณะบริการสาธารณะไม่หวังผลกำไร

เมื่อมีความแตกต่างด้านการแข่งขันแล้ว จุดแข็งและจุดอ่อนของ รฟท. และ ขสมก. อยู่ตรงไหน

ในระบบขนส่งทางรางระหว่างเมืองนั้น รฟท. เป็นผู้ให้บริการผูกขาดรายเดียว (มีลักษณะเป็น Natural Monopoly) ซึ่งในทางทฤษฎีน่าจะสามารถสร้างผลกำไรได้เป็นจำนวนมาก (เหมือนดังเช่นรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการผูกขาดรายอื่น) แต่ทว่า รฟท. กลับมีปัญหาในการบริหารงานอยู่ไม่น้อย เนื่องจากรัฐบาลเป็นผู้กำหนดราคาค่าโดยสารซึ่งมักจะกำหนดไว้ต่ำกว่าระดับราคาที่จะคุ้มทุน (คล้ายกับกรณีของขสมก.) และยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดสรรงบประมาณการลงทุนมาให้ ซึ่งในอดีตมักจะได้รับการจัดสรรน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เป็นผลให้ รฟท. ถูกตีกรอบด้วยสิ่งที่รัฐบาลจัดสรรมาให้ นอกจากปัญหาดังกล่าว รฟท. ยังประสบปัญหาด้านแข่งขันจากการขนส่งและโดยสารรูปแบบอื่น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเดินทางทางอากาศและทางบก ซึ่งด้วยปัจจัยด้านราคาและระดับการบริการแล้วอาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า ดังนั้น รฟท. เองจำเป็นต้องมีการปรับตัว เพื่อให้สามารถยกระดับคุณภาพการให้บริการให้สามารถแข่งขันกับรูปแบบการขนส่งอื่นได้ นอกจากนี้ ในปี 2562 มีการดำเนินการปรับโครงสร้างหน่วยงานด้านระบบขนส่งทางราง โดยแยกบทบาทหน่วยงานกำกับดูแลออกจาก รฟท. เพื่อจัดตั้งเป็น “กรมการขนส่งทางราง”4 โดยมีหน้าที่ควบคุมดำเนินการเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางราง จัดทำข้อเสนอแนะนโยบายยุทธศาสตร์ ทำแผนพัฒนาด้านการขนส่งทางราง กำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับการประกอบกิจการขนส่งทางราง5 บทบาทของ รฟท. เองจึงจะต้องเปลี่ยนไปในอนาคต โดยจะเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่เดินรถเป็นหลัก และอาจมีผู้ประกอบการเดินรถรายอื่น ๆ เข้ามาให้บริการเดินรถเพื่อแข่งขันกันอีกด้วย

สำหรับจุดแข็งของ รฟท. ที่เหนือกว่าการบินไทยและ ขสมก. อย่างชัดเจน คือ ทรัพย์สินของ รฟท. ซึ่งเป็นที่ดินจำนวนมากและมีศักยภาพในการสร้างรายได้จำนวนมหาศาล แต่จากรายงานประจำปี 2562 การรถไฟแห่งประเทศไทยพบว่า ในปี 2561 รฟท. สามารถทำรายได้จากการบริหารสินทรัพย์ที่มีได้เพียง 4,141.50 ล้านบาท6 คิดเป็น 24% ของรายได้รวมทั้งหมดในปี 2561

ในส่วนของ ขสมก. รูปแบบการบริหารองค์กรจะเป็นกึ่งผูกขาด กล่าวคือ เป็นผู้รับใบอนุญาตการเดินรถทุกเส้นทางในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่เพียงรายเดียว แต่เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ อย่างเพียงพอจึงไม่สามารถเดินรถได้ทุกเส้นทาง ทำให้ต้องนำสิทธิดังกล่าวไปให้บริษัทเอกชนเข้ามาร่วมเดินรถ โดยเป็นการให้บริการในลักษณะที่เรียกว่า “รถร่วม ขสมก” ซึ่งนอกจาก ขสมก. จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแล้ว ยังถูกกำหนดให้เก็บค่าโดยสารในราคาต่ำ อีกทั้งต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงจากการจราจรที่ติดขัดของพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้มีผลต่อการหมุนเวียนรถเป็นอย่างมาก

สำหรับปัญหาของ รถร่วม ขสมก พบว่าผู้ประกอบการก็ต้องแบกรับภาระตันทุนด้านค่าโดยสาร การหมุนเวียนรถจากปัญหาการจราจรติดขัด เช่นเดียวกับ ขสมก อีกทั้งค่าโดยสารที่เก็บได้ยังต้องหักจ่ายให้กับ ขสมก.

การแก้ปัญหาของ ขสมก. และผู้ประกอบการรถร่วมนั้น จำเป็นต้องมีการสนับสนุนและพัฒนาด้านต่าง ๆ เช่น การมี Bus Lane การสร้างระบบควบคุมการเดินรถที่ทันสมัย การอุดหนุนค่าดำเนินการต่าง ๆ ซึ่งรัฐบาลต้องเป็นผู้ผลักดันให้เกิดทั้งในด้านกฎหมายและการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อช่วยเหลือ ขสมก. และผู้ประกอบรถร่วม ซึ่งเป็นผู้ให้บริการสาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่

นอกจากปัญหาการจราจรและการบริหารองค์กรแล้ว ขสมก. เองก็ยังต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันกับการขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่นให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น BTS, MRT, แท็กซี่ หรือ รถจักรยานยนต์รับจ้าง แล้วจะแก้ปัญหา รฟท. และ ขสมก. อย่างไร เพื่อไห้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดและไม่เดินตามรอยการบินไทย

เมื่อเราลองพิจารณาสิ่งที่ 3 หน่วยงานมีเหมือนกัน นั่นคือ “สหภาพแรงงาน” เราจะพบว่า บทบาทที่เด่นชัดที่สุดของการมีสหภาพแรงงานคือ การสร้างอำนาจต่อรองของคนในองค์กรให้สามารถเจรจากับนายจ้าง รวมถึงรัฐบาลได้ โดยสหภาพแรงงานอาจทำการประท้วง การนัดหยุดงาน เพื่อสร้างอำนาจในเจรจาซึ่งมีแนวโน้มในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง สหภาพแรงงานอาจจะต้องมีการปรับบทบาท โดยยามรับฟังมากขึ้น เสนอทางเลือกเปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย

เมื่อปรับบทบาทของสหภาพแรงงานได้แล้ว สิ่งที่ต้องปรับต่อมาคือ รูปแบบการบริหารของแต่ละองค์กร โดยแต่ละองค์กรจะมีการปรับตัวที่แตกต่างกัน เนื่องจากรูปแบบการบริหารและวัฒนธรรมขององค์กร

แน่นอน ในส่วนของ รฟท. มีความจำเป็นที่จะต้องลดความเป็นราชการลง เพื่อให้เกิดความคล่องตัว แล้วจัดรูปแบบการบริหารใหม่

สำหรับ ขสมก. รัฐบาลควรเข้ามาเปลี่ยนระบบการให้บริการของรถโดยสารประจำทาง โดยยกเลิกระบบรถร่วมบริการแล้วเปลี่ยนเป็นการประมูลเส้นทางเดินรถแทน เนื่องจากการใช้ระบบรถร่วมบริการนั้น ผู้ประกอบการรถร่วมต้องเก็บค่าโดยสารเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินรถ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการรถร่วมมีการแข่งขันกันบนท้องถนน เพื่อแย่งผู้โดยสาร เป็นผลให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

สำหรับการประมูลเส้นทางเดินรถนั้น ควรให้บริษัทเอกชนเข้ามาประมูลการเดินรถแข่งขันกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ในส่วนของค่าโดยสารควรจัดเก็บแล้วส่งคืนผู้ว่าจ้าง (ซึ่งก็คือ ขสมก. ในที่นี้) การทำเช่นนี้จะทำให้ไม่มีปัญหาการแย่งผู้โดยสารกันบนท้องถนนของผู้ประกอบการรถร่วมโดยสาร แต่แข่งขันเกิดขึ้นในขั้นตอนของการประมูลเพื่อรับจ้างเดินรถให้ได้ตามมาตรฐานการให้บริการที่ ขสมก. กำหนดบนเส้นทางนั้น

ในส่วน ขสมก. ควรผันบทบาทไปให้บริการในเส้นทางที่ไม่มีเอกชนสนใจเข้าประมูล แต่มีความจำเป็นต้องจัดให้มีบริการเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยรัฐต้องกำหนดมาตรฐานการให้บริการ โครงสร้างราคาค่าโดยสาร และให้การสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างเพียงพอในเส้นทางนั้น ๆ


1รายงานประจำปี 2562 บริษัท การบินไทย (จำกัด) มหาชน
2รายงานประจำปี 2562 การรถไฟแห่งประเทศไทย
3รายงานประจำปี 2561 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร
4พระราชบัญญัติ ปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2562
5กฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2562
6รายงานประจำปี 2562 การรถไฟแห่งประเทศไทย

บทความก่อนหน้า
ประเทศไทยกับการยุทธศาสตร์การพัฒนาเส้นทางสายไหมใหม่ (Thailand and the New Silk Road)
บทความถัดไป
รายงานพยากรณ์ความต้องการการเดินทางทางอากาศของประเทศ
Google Map
ท่านคือผู้เข้าชมคนที่
Visit counter For Websites
นับตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566
Facebook
Twitter