สงครามฝิ่น

จัดทำข้อมูลโดย : สุมาลี สุขดานนท์
ปีที่จัดทำ : มีนาคม 2554

        สงครามฝิ่นเป็นสงครามระหว่างประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีนกับอังกฤษในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตก สงครามฝิ่นเกิดขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1834 และครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1856

สาเหตุของสงคราม
        สงครามฝิ่นเป็นสงครามที่ยุติความบาดหมางทางการค้าระหว่างประเทศอังกฤษและจีนที่มีมายาวนาน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ประเทศจีนไม่ยอมเปิดประตูการค้าอย่างเสรีตามความต้องการของชาติตะวันตก ในสมัยราชวงศ์ชิงจีนทำการค้ากับชาติตะวันตกภายใต้ระบบการผูกขาดโดยพ่อค้าจีนที่เรียกว่า "ก้งหอง" (ในภาษากวางตุ้ง หรือ "กงหาง" ในภาษาแมนดาริน) และจำกัดขอบเขตการค้าขายอยู่ในเมืองกวางโจว (เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง)1 ฝ่ายอังกฤษซึ่งดำเนินการค้าโดยบริษัทอินเดียตะวันออก (British East Indian Company) ขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาลให้แก่จีน เนื่องจากนำเข้าใบชาจากจีนจำนวนมาก แต่กลับไม่สามารถขายสินค้าให้แก่จีนได้อย่างเสรี ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกขาดทุนมาโดยตลอด ในทศวรรษที่ 1820 บริษัท ฯ ได้พบสินค้าใหม่ซึ่งสามารถทำกำไรให้บริษัท ฯ ได้อย่างงดงาม คือ ฝิ่น ซึ่งปลูกในอินเดีย (อาณานิคมอีกแห่งหนึ่งของอังกฤษในยุคนั้น) ส่งผลให้สถานภาพการเสียเปรียบดุลการค้าของอังกฤษดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จากระหว่าง ค.ศ. 1800-1810 จีนเคยได้เปรียบดุลการค้า 26 ล้านดอลล่าร์ ในระหว่าง ค.ศ. 1828 - 1836 จีนต้องขาดดุลการค้าถึง 38 ล้านดอลล่าร์2

สงครามฝิ่นครั้งที่ 1 (ค.ศ.1834-1843)
        นอกจากการขาดดุลการค้าให้แก่อังกฤษที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลชิงได้ตระหนักถึงพิษภัยของการเสพติดฝิ่นของคนจีนในทุกชนชั้น ในปี ค.ศ. 1838 จึงได้ประกาศห้ามนำเข้าฝิ่นและผู้ฝ่าฝืนมีโทษถึงประหารชีวิตทั้งผู้ค้าและผู้เสพ อย่างไรก็ตามฝิ่นยังคงหลั่งไหลเข้าไปยังแผ่นดินจีน เนื่องจากเป็นสินค้าที่ทำรายได้มหาศาลให้กับประเทศตะวันตก เดือนมีนาคม ค.ศ. 1839 เจ้าหน้าที่ของจีนยึดฝิ่นของพ่อค้าอังกฤษจากท่าเรือในกวางโจว ในวันที่ 27 มีนาคม ของปีเดียวกัน อังกฤษทำเรื่องขอฝิ่นที่ถูกยึดคืนจากจีน แต่ถูกปฏิเสธ สถานการณ์ลักลอบขนฝิ่นเข้าประเทศจีนกลับยิ่งรุนแรงมากขึ้น ทางการจีนบังคับให้พ่อค้าอังกฤษลงนามในข้อตกลงที่จะไม่ค้าขายฝิ่น หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกลงโทษประหารชีวิต พ่อค้าอังกฤษที่ทำการค้าฝิ่นปฏิเสธที่จะลงนามในข้อตกลงดังกล่าว รัฐบาลชิงทำหนังสือถึงพระนางเจ้าวิคตอเรีย ถามถึงเหตุผลที่รัฐบาลอังกฤษของพระนางห้ามค้าฝิ่นในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ และสก๊อตแลนด์อย่างเด็ดขาดโดยอ้างเหตุผลว่าเป็นการค้าที่ผิดศีลธรรม แต่กลับส่งสินค้าดังกล่าวมาขายในตะวันออกไกลและทำกำไรมหาศาลให้กับประเทศของตน3 รัฐบาลอังกฤษบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามดังกล่าว แต่กลับอ้างว่าการที่รัฐบาลชิงยึดทรัพย์สินของชาวอังกฤษเป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรมและขอสินค้าคืน รัฐบาลจีนปฏิเสธและนำฝิ่นที่ยึดได้ทำลายและทิ้งลงทะเล อังกฤษจึงถือเป็นข้ออ้างในการยกกองกำลังปิดล้อมชายฝั่งมณฑลกวางตุ้งรวมถึงฮ่องกง จีนพ่ายแพ้สงคราม และได้ลงนามในสนธิสัญญานานกิง ในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ.1842 เพื่อยุติสงครามกับประเทศอังกฤษ รัฐบาลจีนต้องชดใช้ค่าฝิ่นที่ทำลาย จ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามให้แก่อังกฤษ และเปิดเมืองท่าชายทะเล 5 แห่ง ได้แก่ กวางโจว เซียะเหมิน ฝูโจว หนิงโป และ เซี่ยงไฮ้ รวมถึงยกเกาะฮ่องกงและเกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่โดยรอบเป็นเขตเช่าของอังกฤษ โดยชาวอังกฤษและคนที่อยู่ใต้อาณัติสามารถทำอาศัยอยู่โดยได้รับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (Extraterritoriality) ทั้งหมดนี้ทำให้อังกฤษเป็น "ชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง" (most-favored-nation)4 ต่อมาในปี 1844 ประเทศฝรั่งเศสและอเมริกาได้บีบบังคับให้จีนให้สิทธิประโยชน์แก่ตนเช่นเดียวกับอังกฤษ5

ผลของสนธิสัญญานานกิง ค.ศ.1842
        ประเทศจีนและอังกฤษลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกบนเรือรบ HMA Cornwallis ของอังกฤษซึ่งจอดอยู่ที่เมืองนานกิง สนธิสัญญาฉบับนี้เป็นสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมฉบับแรกที่จีนทำกับมหาอำนาจตะวันตก6 สาระในสัญญามีผลทำให้ระบบการค้าผูกขาดแบบ "ก้งหอง" หรือ "กงหาง" ถูกยกเลิก การเปิดเมืองท่าในชายฝั่งภาคตะวันออก 5 เมือง พร้อมด้วยท่าเรือในเมืองเหล่านี้มีสถานะเป็นท่าเรือตามสนธิสัญญา (Treaty Port) มหาอำนาจตะวันตกเป็นผู้ประกอบการบรรทุกขนถ่ายสินค้าโดยไม่ต้องจ่ายค่าภาระท่าเรือให้แก่รัฐบาลจีน อัตราภาษีนำเข้าอยู่ในอัตราคงที่และต่ำมาก กล่าวคือ จากร้อยละ 65 เหลือเพียงร้อยละ 57 ทั้งหมดนี้ทำให้จีนแทบไม่มีรายได้จากการค้ากับชาติตะวันตก การนำเข้าสินค้าได้อย่างเสรีมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพื้นบ้านของจีนอย่างรุนแรง

        ผลกระทบของสนธิสัญญานานกิงในด้านสังคมที่ร้ายแรงที่สุด คือ การค้าฝิ่นเป็นเรื่องถูกกฎหมายโดยถือว่าเป็นยารักษาโรคและสามารถทำได้โดยเสรี ทำให้สังคมจีนอยู่ในสภาพอ่อนแอ คนจีนจำนวนมากอยู่ในสภาพติดยาเสพติด นอกจากนี้สินค้าราคาถูกที่ผลิตจากเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมจากยุโรปหลั่งไหลเข้าไปในประเทศจีน ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมสิ่งทอ และก่อให้เกิดปัญหาคนว่างงานจำนวนมหาศาล8 สิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ชาวอังกฤษรวมถึงคนในอาณัติได้รับ ทำให้ชาติตะวันตกสามารถแผ่อิทธิพลเข้าในประเทศจีนอย่างกว้างขวาง สภาพดังกล่าวนี้เหมาเจ๋อตงอดีตประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้วิเคราะห์ว่าทำให้จีนตกอยู่ในสภาพ "กึ่งเมืองขึ้น-กึ่งศักดินา"9 อีกทั้งยังเป็นแหล่งซ่องสุมมิจฉาชีพและอาชญากร ทั้งนี้เพราะสามารถกระทำความผิดได้โดยไม่ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายจีน เพียงแต่หลบเข้าไปอยู่ในเขตที่อยู่ในอิทธิพลตะวันตก

สงครามฝิ่นครั้งที่ 2 (ค.ศ.1856-1860)
        สงครามฝิ่นครั้งที่ 2 หรือรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่ง คือ สงครามแอร์โรว์ (Arrow War) เป็นผลมาจากอังกฤษต้องการเจรจาแก้สนธิสัญญานานกิง เพื่อให้ตนได้รับประโยชน์จากการค้ามากขึ้น ซึ่งจีนไม่ยอม ชนวนของสงคราม คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีนยึดเรือแอร์โรว์ซึ่งเป็นเรือของชาวจีนแต่จดทะเบียนเป็นเรืออังกฤษและจับกุมลูกเรือซึ่งเป็นคนจีนทั้งหมด 12 คน ด้วยข้อกล่าวหากระทำการเป็นโจรสลัดและลักลอบขนสินค้าเข้าเมือง อังกฤษเรียกร้องให้จีนคืนเรือและปล่อยตัวลูกเรือทั้งหมดอ้างว่าเรือดังกล่าวชักธงอังกฤษ ดังนั้นจึงควรได้รับการปกป้องตามสนธิสัญญานานกิง แต่จีนปฏิเสธข้อเรียกร้อง ในขณะเดียวกันบาทหลวงฝรั่งเศสถูกฆ่าตาย อังกฤษและฝรั่งเศสจึงถือเป็นข้ออ้างในการยกกองเรือมาปิดล้อมเมืองกวางโจว10 โดยมีรัสเซียและสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรร่วมในสงคราม จีนพ่ายแพ้ในสงครามอีกครั้ง และจำยอมลงนามในสนธิสัญญาเพื่อสงบศึก ณ เมืองเทียนจินในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1858 โดยในวันที่ 13 มิถุนายน ลงนามกับรัสเซีย วันที่ 18 มิถุนายน ลงนามกับสหรัฐอเมริกา วันที่ 26 มิถุนายน ลงนามกับอังกฤษ และวันที่ 27 มิถุนายน ลงนามกับฝรั่งเศส11

        อย่างไรก็ตามเกิดการสู้รบขึ้นอีกครั้งอีกครั้งในปี 1859 เมื่อจีนปฏิเสธที่จะให้อังกฤษตั้งสถานทูตในนครหลวงปักกิ่งตามข้อตกลงที่ไดระบุไว้ในสนธิสัญญาเทียนจิน การรบสู้รบเกิดขึ้นทั้งในปักกิ่งและฮ่องกง การสู้รบยุติลงเมื่อชาติจะวันตกบุกเผาพระราชวังฤดูร้อน 2 หลัง คือ ชิงอีและหยวนหมิงหยวนเสียหายทั้งหลัง อีกทั้งปล้นสะดมวัตถุโบราณและของมีค่าไปจากพระราชวังในวันที่ 18 และ 19 ตุลาคม 186012 จีนยอมจำนนด้วยเกรงว่าชาติตะวันตกจะบุกยึดพระราชวังต้องห้ามที่ปักกิ่ง และตกลงลงนามยุติการสู้รบกับอังกฤษในการประชุม ณ ด้านใต้ของพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่งในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.186013 ลงนามกับฝรั่งเศสในวันที่ 25 ตุลาคม และลงนามกับรัสเซียในวันที่ 14 พฤศจิกายน

ผลของสนธิสัญญาเทียนจิน ค.ศ.1842 และข้อตกลงปักกิ่ง ค.ศ.1860
        สนธิสัญญาเทียนจินเป็นสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมอีกฉบับที่รัฐบาลชิงจำยอมต้องลงนามกับมหาอำนาจตะวันตกทั้ง 4 ชาติ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา เนื้อหาในสนธิสัญญาที่ลงนามกับมหาอำนาจตะวันตกแต่ละชาติแตกต่างกันบ้าง แต่โดยสรุปผลของสนธิสัญญาทำให้จีนต้องเปิดเมืองท่าชายเพิ่มขึ้นอีก 11 แห่ง ทำให้ชายฝั่งตะวันออกของจีนถูกเปิดกว้างให้มหาอำนาจตะวันตกค้าขายได้อย่างเสรีภายใต้ระบบการค้าเมืองท่าตามสัญญา (Treaty Port System) โดยเสียภาษีนำเข้าไม่เกินร้อยละ 2.5 มหาอำนาจตะวันตกทั้ง 4 ชาติ มีสิทธิจัดตั้งสถานกงสุลขึ้นในนครหลวงปักกิ่ง และกองทัพเรือของชาติเหล่านี้สามารถผ่านเข้าออกแม่น้ำฮวงโหได้อย่างเสรี ชาวตะวันตกสามารถเดินทางเข้าไปยังตอนในของแผ่นดินจีนได้อย่างเสรี และจีนต้องจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส อีกทั้งจ่ายค่าชดใช้ค่าเสียหายให้แก่พ่อค้าอังกฤษ สำหรับข้อตกลงปักกิ่งเป็นข้อตกลงที่จีนทำกับประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ผลของข้อตกลงทำให้สัญญาเช่าพื้นที่ตอนใต้ของคาบสมุทรเกาลูน (ปัจจุบันคือ ถนน Boundary) ซึ่งอังกฤษลงนามขอเช่าจากจีนในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1860 สิ้นสุดลง และต้องยกพื้นที่บริเวณนี้ให้อยู่ในอาณัติของอังกฤษรวมกับเกาะฮ่องกง (รวมถึงเกาะ Stonecutters) ภายใต้ข้อตกลงปักกิ่งซึ่งลงนามในวันที่ 24 ตุลาคม 1860 เปิดเมืองเทียนจินให้เป็นเมืองท่าตามสัญญาเพิ่มอีก 1 เมือง จ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามเพิ่มเติมจากสนธิสัญญาเทียนจิน14 อย่างไรก็ตาม ในปี 1898 อังกฤษได้ทำข้อตกลงปักกิ่งครั้งที่ 2 ขอเช่าพื้นที่ทางตอนใต้ของลำน้ำเซินเจิน (ปัจจุบันคือ ซินเจี้ย หรือ New Territory) ส่งผลให้อังกฤษได้คอรบครองพื้นที่กว้างใหญ่กว่าเมื่อครั้งอังกฤษเข้ายึดครองเมื่อชนะสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 เกือบสิบเท่า15 โดยพื้นที่ทั้งหมดเป็นเขตเช่าของอังกฤษเป็นเวลา 99 ปี (ค.ศ.1898-1997)

การสิ้นสุดผลของสงครามฝิ่น
        แม้ว่าสงครามฝิ่นจะเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 แต่ผลของสงครามสืบต่อเนื่องและสิ้นสุดในปลายศตวรรษที่ 20 เมื่อการเช่าฮ่องกงสิ้นสุดลง ในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1997 และอังกฤษส่งคืนฮ่องกงให้กลับไปอยู่ในอาณัติของประเทศจีนในวันถัดมา คือ วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1997




1China - A History of Warfare. Canton System. [Online]. Available from:
http://chinaahistoryofwarh=fare.devhub.com/blog/530577-canton-system [4 February, 2011].

2ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ. การค้าเสรี: จากสงครามฝิ่นถึง FTA. เอกสารสัมมนาลุ่มน้ำโขง: วิกฤต การพัฒนา และทางออก หมายเลข 10 หน้า 3. 25-26 มกราคม 2549 ณ ห้องประชุมโรงแรมรอยัลแม่โขง จังหวัดหนองคาย.

3Coleman, Anthony (ed.) Millenmiun: A thousand Years of History. London: Bantam, 1999. P 243 - 244. อ้างใน New World Encyclopedia. Opium Wars. [Online]. Available from: http://www.newworldencycclopedia.org/entry/Opium_War [2 February, 2011].

4ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ. การค้าเสรี: จากสงครามฝิ่นถึง FTA.

5International encyclopedia of the Social Sciences. 2008. Opium Wars. [Online]. Available from: http://www.encyclopedia.comp/topic/Opium_Wars.aspx [28 January, 2010].

6New World Encyclopedia. 2007. Treaty of Nanking. [Online]. Available from: http://www.newwroldencyclopedia.org/entry/Treaty _of_Nanking. [1 February, 2011].

7International encyclopedia of the Social Sciences. 2008. Opium Wars.

8The Opium War and the Opening of China. [Online]. Available from: http://historyliterature.homestead.com/files/extended.html [28 January, 2011].

9ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ. การค้าเสรี: จากสงครามฝิ่นถึง FTA. เอกสารสัมมนาลุ่มน้ำโขง: วิกฤต การพัฒนา และทางออก หมายเลข 10 หน้า 6.

10Culture China. The Opium Wars and the Unequal Treaties in the Qing dynasty. [Online]. Available from: http://history.cultural-china.com/en/183History5517.html [20 February, 2011].

11Wikipedia , The Free encyclopedia. Treaty of Teintsin. [Online]. Available from: http://en.wikipedia.org/wiki/Treaty_of _Teintsin. [20 February, 2011].

12ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ. การค้าเสรี: จากสงครามฝิ่นถึง FTA. เอกสารสัมมนาลุ่มน้ำโขง: วิกฤต การพัฒนา และทางออก หมายเลข 10 หน้า 10.

13Wikipedia , The Free encyclopedia. Convention of Peking. [Online]. Available from: http://en.wikipedia.org/wiki/Treaty_of _Teintsin. [20 February, 2011].

14New World Encyclopedia. Treaty of Nanking. [Online]. Available from: http://www.newworldencyclopedia.org/entry/Trety_of_Nanking. [1 February, 2011].

15วิกิพีเดีย. เขตบริหารพิเศษฮ่องกง. [สายตรง] แหล่งที่มา: http://th/wikipedia.org [14 มีนาคม 2554].

16เรื่องเดียวกัน.
ท่านคือผู้เข้าชมคนที่
สงวนลิขสิทธิ์ สถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ชั้น 6 อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี ถนนพญาไท ปทุมวัน กรุงเทพ ฯ 10330 Email : tri@chula.ac.th